เทคโนโลยีเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ และน้ำหมึก

ปัจจุบันนี้ไม่ว่าเราจะทำอะไร หรือจะเดินทางไปไหน ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ก็คงจะต้องพึงพาเทคโนโลยีกันทั้งนั้น จะว่าไปแล้วมนุษย์เรา ใช้เทคโนโลยี ตั้งแต่ ลืมตาตื่นนอนขึ้น หากสักวันหนึ่งมนุษย์เราขาดเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวันไป มนุษย์เราจะทำอย่างไร
เครื่องพรินเตอร์ก็เช่นเดียวกัน เครื่องพรินเตอร์ นับเป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น มนุษย์สร้างเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อ อำนวยความสะดวกในชีวิต ประจำวัน ตั้งแต่การเดินทาง การขนส่ง การสื่อสาร เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ตนเอง และผู้อื่น เทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้นก็มีทั้งสิ่งที่มีประโยชน์กับมนุษย์ และสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์(เป็นโทษ) กับมนุษย์ สิ่งที่เป็นประโยชน์กับมนุษย์ก็มีหลายอย่างเช่น การประดิษฐ์ เครื่องสร้างไฟฟ้า ทำให้มนุษย์เรามีแสงสว่างในตอน กลางคืน ไฟฟ้ายังสามารถแปลงเปลี่ยนเป็นพลังงานในรูปอื่นๆ ได้อีกหลายอย่าง ทำให้มนุษย์เราอยู่อย่างสุขสบาย

ไม่ใช่มนุษย์จะสร้างแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เท่านั้น มนุษย์ยังได้สร้างเทคโนโลยีที่เป็นโทษอีก เช่น เทคโนโลยีนิวเคลียร์ เทคโนโลยีนี้สร้างขึ้นมาเพื่อที่จะ สร้างพลังงาน ในรูปความร้อน แต่มนุษย์ก็นำไปใช้ในทางที่ผิด กลับนำไปใช้ในการทำสงคราม อีกทั้งยังก่อให้เกิดเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ตลับหมึกแบบแยกสีหรือรวมสี เครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ที่มีราคาแพง จะแยกสีออกจาก ตลับสี C M Y K แยกออกจากกันอย่างชัดเจน และ EPSON Photo มีถึง 6 ตลับสี โดยเพิ่ม Light Cyan, Light Magenta อีก 2 สี เครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ ที่มีตลับรวมกัน (ตลับเดียว 3 สี CMY) นั้นจะมีราคาถูกกว่า (ตัวเครื่องถูกกว่า) เหมาะ สำหรับการใช้งานส่วนตัวหรือธุรกิจขนาดเล็ก พวกนี้ติดตั้งง่าย ในขณะที่ตลับหมึกแบบแยกสีนั้นเหมาะ สำหรับการใช้งานองค์กรขนาดใหญ่หรืองานที่ต้อง พิมพ์ปริมาณมากๆ

กลไกในการฉีดหมึก กลไกในการฉีดหมึกของเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ มีสองแบบคือ แบบเทอร์มอล (Thermal) คือ การใช้ความร้อนในการอุ่นหมึก แล้วควบแน่นไอหมึกเพื่อ ฉีดเป็นหยดหมึกบนกระดาษอีกที และอีกกลไกคือ หัวฉีดหมึกแรงดันสูง (Piezo Electronic) ซึ่งมีใช้ในเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ EPSON โดยส่วนใหญ่ แล้ว เวลาซื้อ ถ้าหากถามคนขายหรือดูในสเปกของพรินเตอร์ อาจจะไม่ทราบว่าพรินเตอร์รุ่นนั้นใช้เทคโนโลยีใดในการทำงาน ข้อแตกต่างของสองเทคโนโลยีคือ ความแม่นยำ การควบคุมปริมาณ และความคมชัดของงานพิมพ์ ซึ่งผู้ผลิตแต่ละรายต่างก็พัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองให้ดีที่สุด

ประเภทของหมึกที่ใช้ หมึกที่ใช้สำหรับเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท และบางทีการแบ่งประเภทของเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ ก็แบ่งตามประเภทหมึกด้วย

• ประเภทแรกคือ Liquid Inkjet คือ ใช้หมึกที่เป็นน้ำ มีแม่สี 4 สี C M Y K โดยจะมีหมึกสองอย่างคือ หมึกพิมพ์แบบ Dye, หมึกพิมพ์แบบ Pigment และหมึกพิมพ์แบบ Solid Ink เครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ราคาประหยัดโดยทั่วไปจะใช้หมึกพิมพ์แบบ Dye เพราะละลาย ได้ง่ายกว่าหมึกพิมพ์แบบ Pigment ให้ระดับสีที่กว้างกว่า เหมาะสำหรับงานทั่วไป แต่หมึกพิมพ์แบบ Pigmentนั้นจะสามารถภาพที่มี ความคงทนมากกว่า ซึ่งทาง EPSON ได้พัฒนาหมึก โดยใช้หมึกพิมพ์ DuraBrite ซึ่งถูกพัฒนาให้มีระดับที่กว้างกว่าและมีความคงทนกว่า
• หมึกประเภทที่สองคือ Dye Sublimation พวกนี้หมึกจะมีลักษณะเป็นฟิล์มบางๆ ของสี 3 สี CMY ส่วนสีดำ เกิดจากการผสมของ 3 สี งานพิมพ์ที่ได้จากเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทประเภทที่ใช้ Dye Sub ถือว่าเป็นงานพิมพ์ระดับมืออาชีพ ต้นทุนค่าหมึกและค่าเครื่องของพรินเตอร์ อิงค์เจ็ทประเภทนี้มีราคาสูง
• ประเภท Solid Ink-jet ประเภทนี้ไม่เหมาะกับงานพิมพ์ภาพถ่าย แต่เหมาะสำหรับการพิมพ์เอกสารเพื่อตรวจปรุ๊ฟ (Proof)
กลไกการฉีดหมึกของ Epson
EPSON กับเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ เครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์แบบฉีดหมึกของ EPSON นั้นแบ่งออกเป็นตระกูลใหญ่ได้สองตระกูลคือ EPSON Stylus ซึ่งถือเป็นเครื่องอิงค์เจ็ท พรินเตอร์ ระดับทั่วไป และ EPSON Stylus Photo เป็นเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ในระดับการพิมพ์งาน “ภาพถ่าย” ที่ต้องการความละเอียดของภาพมากกว่า EPSON เป็นผู้ผลิตพรินเตอร์รายต้นๆ ที่ พัฒนาพรินเตอร์แบบฉีดหมึกออกสู่ตลาด EPSON ได้รับการยอมรับในเรื่องความสดของสี การถ่ายทอด สีที่เที่ยง ตรง และความเร็วในการพิมพ์ จะว่าไปแล้วทั้ง EPSON และ HP ก็คือ คู่แข่งขันกันในธุรกิจเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ เพราะยี่ห้ออื่นๆ นั้น ได้รับ การยอมรับ และมีตัวเลือกไม่มากเท่ากับ HP, EPSON

เทคโนโลยี Pigment INK ของ Epson ทำให้ได้งานพิมพ์ที่มี ความถูกต้อง สมบูรณ์
ถ้าหากดูเทคโนโลยีแล้ว EPSON ดูเหมือนจะมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีของเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์มากกว่า HP ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการฉีดหมึก การสร้างภาพ การทำให้สีเหมือนธรรมชาติ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ของ EPSON ได้รับความนิยมมากกว่า HP (ของ HP นั้น พรินเตอร์เลเซอร์ครองตลาดมานาน)
EPSON Stylus C50 พิมพ์ด้วยความละเอียด 1440 และ C60 พิมพ์ด้วยความละเอียด 2880 ทั้งสองรุ่นเป็นเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ราคาประหยัด รุ่นใหม่นั้นใช้เทคโนโลยี PPIS (Perfect Picture Imaging System) เพื่อให้ได้ผลงาน การพิมพ์ออกมา ให้สมบูรณ์แบบที่สุด โดยประกอบด้วย เทคโนโลยีหัวพิมพ์ ที่ใช้ EPSON Micro Peizo ซึ่งเป็นระบบหัวฉีด ความดันแรงสูง และระบบการแปลงสี AcuPhoto Halftoning การสร้างภาพ โดยการฉีดหมึกใช้เทคโนโลยี Ultra Micro dot ซึ่งจะให้ขนาดของหยด หมึกที่มีขนาดเล็ก จุดของสียิ่งเล็ก ยิ่งให้ภาพละเอียด มากขึ้น

ในขณะที่ HP มุ่งประเด็นไปที่การพัฒนา PhotoRet III แต่ EPSON จะแตกต่างกว่า EPSON เรียกเทคโนโลยีที่ตัวเองพัฒนาว่า PPIS (Perfect Picture Imaging System ระบบการสร้างภาพที่ สมบูรณ์แบบ ซึ่งรวมไปถึงการใช้ระบบการสร้างคุณภาพของภาพ (Photo Repro duction Quality PRQ) เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าภาพที่ได้จะมีสีสันและความคมชัดที่ถูกต้อง โดยการปรับกลไกการสร้างภาพ ที่มีสีทึบและภาพที่มีแสง สว่างให้มีความแม่นยำมากขึ้น

นอกจากนี้ EPSON ยังมีเทคโนโลยี Printing Image Matching สำหรับรุ่น EPSON Stylus Photo ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วย ในเรื่องของการ จับคู่ภาพ ให้ภาพที่ได้จากกล้องดิจิตอลนั้นเมื่อนำมาพิมพ์ด้วย EPSON Stylus Photo แล้วยังมีสีสันเหมือนภาพต้นฉบับอยู่
HP กับเทคโนโลยี PhotoRet เครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ของ HP ได้รับความนิยมในอันดับต้นๆ ทั้งนี้เพราะ HP ถือเป็นผู้ผลิตรายหนึ่งที่พัฒนาเทคโนโลยีการพิมพ์ของเครื่องอิงค์เจ็ท พรินเตอร์อย่างต่อเนื่อง พรินเตอร์ของ HP ได้รับการยอมรับในเรื่องความทนทานในการทำงาน การ ออกแบบที่ใช้งานได้สะดวก อุปกรณ์ต่อพ่วงที่มีให้ครบครัน เช่น เมื่อพอร์ต USB ได้รับความนิยม HP ก็พัฒนาพรินเตอร์ที่ใช้พอร์ต USB ออกมา นอกจากนี้ HP ยังมี EIO (Ethernet IO Card JetDirect) เพื่อรอง รับกรณีที่ผู้ใช้งานพรินเตอร์นั้นต้องการนำพรินเตอร์เข้าไปใช้งานในเครือข่ายด้วย ไดรเวอร์ทุกรุ่นของ HP สนับสนุนการแชร์พรินเตอร์ผ่าน เครือข่ายเป็นอย่างดี เทคโนโลยีในการสร้างภาพของ HP คือ PhotoRet (โฟโต้เร็ต)ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เวอร์ชั่นแรกของ PhotoRet นั้นสนับสนุนการพิมพ์ที่ 600 x 600 จุดต่อตารางนิ้ว แต่พิมพ์เพียง 4 ชั้นต่อ 1 จุด การสร้างสีจึงทำได้เพียง 48 สี ในบางกรณี สีที่ออกมาบนกระดาษ จึงไม่เหมือนกันกับสี ที่เห็นจากจอ คอม พิวเตอร์นัก ปัจจุบันเทคโนโลยี PhotoRet ยังมีอยู่ในพรินเตอร์ตระกูล Deskjet 600 ของ HP ซึ่งถือเป็นพรินเตอร์ที่มีราคาต่ำ เหมาะสำหรับการนำมาใช้ งานธุรกิจ ที่ไม่ต้องการภาพที่สวยงาม เหมือนจริงมากนัก

ต่อมา HP ได้พัฒนา PhotoRet II ซึ่งถือเป็นเวอร์ชันที่ 2 ออกสู่ตลาด เทคโนโลยีนี้ยังให้ความละเอียด 600 x 600 จุด ต่อตารางนิ้ว เหมือนเดิมแต่ HP บอกว่าเทคโนโลยีนี้ ทำให้ภาพที่ได้เสมือนกับการพิมพ์ที่ให้ความละเอียด 1,200 x 600 จุดต่อตารางนิ้ว ทั้งนี้เพราะการผสมสีที่จุดสี ถึง 16 ชั้น ทำให้ สร้างเฉดสีได้ 650 สีต่อ 1 จุด โดยที่หยดหมึกแต่ละหยดจะมีขนาด 10 พิโคลิตร พรินเตอร์ซีรี่ 800 ของ HP จะใช้เทคโนโลยี PhotoRet II นี้ ซึ่งจะ เหมาะ สำหรับงานที่ต้องการความละเอียดของกราฟิก สักหน่อย ต้องการสีที่ ประณีต โดยส่วนใหญ่แล้ว ถ้าหากนำเอาไปพิมพ์ภาพถ่ายบนกระดาษโฟโต้ ภาพที่ได้บน กระดาษ A4 ก็เป็นภาพที่อยู่ในระดับให้ รายละเอียดของภาพและเกรนที่ดี

เทคโนโลยีล่าสุดของ HP ที่ใช้พรินเตอร์ แบบอิงค์เจ็ตคือ PhotoRet 3 โดยมีการนำเอาไปใช้กับพรินเตอร์ตระกูล Deskjet 900, 1200 เทคโนโลยี นี้ยังคงให้ความละเอียด 600 x 600 จุดต่อตารางนิ้ว แต่ HP บอกว่าให้สีเทียบเท่าภาพที่มีความละเอียด 2,400 x 1,200 จุดต่อตารางนิ้ว เพราะมีการผสมสีถึง 29 ชั้น ให้รายละเอียดสีได้ถึง 3500 เฉดสี โดยที่หยดหมึกที่ถูกพิมพ์จะมีปริมาณน้ำหมึกเพียง 5 พิโคลิตร เมื่อเทียบกับ PhotoRet II แล้ว จะเห็นว่า Photo Ret 3 น่าจะให้งานที่มีความประณีตกว่าถึง 3 เท่า เหมาะสำหรับการนำมาใช้งานที่ต้องการความประณีตของกราฟิกมากๆ ซึ่งปัจจุบันนี้เองก็ได้มี PhotoRet 4 ออกมาใช้กับเครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ของ HP กันแล้วครับ

Canon กับ Microfine Droplet Technology แคนนอน เป็นผู้ผลิตพรินเตอร์ สแกนเนอร์ ที่พยายามนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดเสมอ แคนนอนไม่เรียกอิงค์เจ็ต เพราะถือว่าระบบของตัวเองไม่ฉีด หมึก แต่แคนนอนเรียกว่า Bubble Jet คือ ระบบการหยดหมึก/พ่นละอองหมึก ซึ่งโดยความจริงแล้วหลักการทำงานจะไม่แตกต่างกันกับอิงค์เจ็ตแต่อย่างใด เทคโนโลยีในการหยดหมึกของแคนนอนนั้นมีชื่อว่า Drop Modulation Technology (DMT) และในพรินเตอร์รุ่นใหม่นั้นใช้ Microfine Droplet Technology ซึ่งพิมพ์ได้ความละเอียดที่ 2,400 X 1,200 จุดต่อตารางนิ้ว ให้คุณภาพในการพิมพ์สูง ในปัจจุบันสามารถพิมพ์ได้ที่ความละเอียดมากกว่า 4,800 x 1,200 จุดต่อตารางนิ้ว

กลไกการทำงานของ MicroFine Droplet Technology
การดูแลรักษาเครื่องพรินเตอร์ ตลับหมึก และโทนเนอร์ การดูแลรักษาจะแบ่งออกเป็น การดูแลรักษา ตลับหมึก โทนเนอร์ และการดูแลรักษาเครื่องพรินเตอร์ ครับ การดูแลรักษาอุปกรณ์เหล่า นี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ จะทำความเข้าใจครับ เพราะเพียงแค่ผู้ใช้เองทำความเข้าใจกับการใช้งานสักนิด ก่อนจะใช้งานก็อ่านคู่มือทำความเข้าใจกับตัวผลิตภัณฑ์สักนิด ก็จะช่วยให้เรา ใช้งานอุปกรณ์เหล่นั้นได้ถูกต้อง ไม่เกิดปัญหาร้ายแรงตามมาครับ หรือหากพบกับปัญหาผู้ใช้เองก็อาจจะแก้ปัญหาเบื้องต้นที่เกิดขึ้นได้ ไม่ต้องเสียเวลายกเครื่อง ไปที่ร้าน หรือศูนย์บริการ เพราะเมื่อท่านมารู้ทีหลังว่า “แค่นี้เองหรอ?” จุดบกพร่องอาจจะเกิดจากตัวผู้ใช้เองก็เป็นได้ครับ อย่างนั้นเรามาศึกษาถึงวิธีการดูแล รักษาและใช้งานให้ถูกต้องกันดีกว่าครับ

การดูแลรักษาเครื่องพรินเตอร์ การดูแลรักษาเครื่องพรินเตอร์ก็ไม่ใช่เรื่องยากในการปฏิบัติครับ ยกตัวอย่างเช่น ท่านใช้เครื่องอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ ทุกครั้งที่ท่านเปิด หรือใช้งานเครื่อง คอมพิวเตอร์ ควรที่จะเปิดไฟที่เครื่องพรินเตอร์ ด้วย เพราะจะทำให้เครื่องพรินเตอร์ทำงานตลอดเวลา เพราะว่าเครื่องอิงค์เจ็ท พรินเตอร์จะใช้ตลับหมึกเป็น อุปกรณ์สำคัญที่ใช้ในการพิมพ์ครับ การที่เครื่องพรินเตอร์ไม่ได้ทำงาน ก็จะทำให้ตัวตลับหมึกอยู่กับที่ตลอดเวลา เป็นสาเหตุให้น้ำหมึกแข็งตัว น้ำหมึกก็จะไหล ไปตัดที่หัวพิมพ์ ทำให้เกิดปัญหาไม่สามารถพิมพ์งานต่อไปได้ครับ ดังนั้นการที่เปิดเครื่องพรินเตอร์ พร้อมๆ กับการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกครั้ง จะทำให้ เครื่องพรินเตอร์ทำการล้างหัวพิมพ์ทุกครั้งที่ใช้งานครับ แต่ทางที่ดีผู้ใช้ควรจะสั่งพิมพ์งานอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งเพื่อให้เครื่องพรินเตอร์ได้ทำงานบ้างครับ หมั่นทำความสะอาดเครื่องพรินเตอร์ และหัวพิมพ์ประมาณ 2-3 อาทิตย์ ต่อครั้ง เพื่อกำจัดฝุ่นละอองและผงที่ตกอยู่ในเครื่องพรินเตอร์ครับ เพราะจะทำให้งาน พิมพ์ที่ได้คุณภาพไม่ดีเท่าที่ควรครับ

การดูแลรักษาตลับหมึก และโทนเนอร์ การดูแลรักษาตลับหมึก และโทนเนอร์ ก็ คล้ายๆ กับการดูแลรักษาเครื่องพรินตอร์ครับ ส่วนสำคัญจะอยู่ที่การเลือกซื้อ และเลือกใช้ตลับหมึก โทนเนอร์ เสียมากกว่าครับ ควรเลือกตลับหมึกโทนเนอร์ของแท้จะดีกว่า เพื่อที่จะได้งานพิมพ์ที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพในการพิมพ์ที่ดียิ่งขึ้นครับ

ใช้ผงหมึกและหมึกพิมพ์ปลอม
ปัจจุบันนี้ได้มีการเลียนแบบผงหมึกและหมึกพิมพ์ของแท้ขึ้นมามาก โดยการนำเอาตลับหมึกของแท้ที่ใช้หมดแล้วไปเติมน้ำหมึกลงไป และก็นำมาขายใหม่ อีกครั้ง บางรายก็ดีหน่อยก็ทำตลับใหม่ขึ้นมาเอง แล้วนำน้ำหมึกที่ผสมด้วยสูตรของตนเองใส่ลงไป โดยที่สินค้าประเภทนี้จะมีราคาที่ถูกกว่าของบริษัท ผู้ผลิต เครื่องพรินเตอร์

1. ส่งผลเสียต่อคุณภาพงานพิมพ์ เพราะ น้ำหมึกจะไม่เกาะตัวเป็นก้อน แต่น้ำหมึกจะแตกกระจายออก ไม่เป็นกลุ่มก้อนครับ ขณะที่ใช้งานก็จะทำให้ น้ำหมึกไหลเลอะเทอะเครื่องพรินเตอร์ครับ อาจจะทำให้เครื่องพรินเตอร์เกิดอาการช็อต คุณภาพ ของงานพิมพ์ที่ได้ก็ไม่ดีเท่าที่ควรครับ สีอาจ จะเพี้ยน
2. ส่งผลเสียกับเครื่องพรินเตอร์ เพราะการที่ใช้ผลิตภัณฑ์เติมน้ำหมึก ผู้ใช้ปฏิบัติตามขั้นตอนไม่ถูกต้อง ทำให้น้ำหมึกที่เติมลงไป ไหลย้อนออกมา ทางด้านช่องที่เติมน้ำหมึก น้ำหมึกที่ไหลออกมานั้นก็กระจายเลอะไปทั่วเครื่องพรินเตอร์ ทำให้เกิดอาการช็อต หรืออาจทำให้ไม่สามารถสั่งพิมพ์ งานต่อไปได้ เพราะหัวพิมพ์มีน้ำหมึกไหลมาอุดตันอยู่

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์น้ำหมึก ตลับหมึก และโทนเนอร์ การที่จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์น้ำหมึก ตลับหมึก และโทนเนอร์ของคุณก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยากครับ การ จะเลือกซื้อ เลือกใช้ก็ควรจะต้องดูก่อนว่าเครื่อง พรินเตอร์ที่คุณใช้เป็นเครื่องแบบใด แล้วยี่ห้ออะไร รุ่นไหน ทางที่ดีควรที่จะจำด้วยว่าใช้หมึกรหัสอะไรจะดีมากเลยครับ เพราะจะได้ทำให้สามารถ ลดเวลา ในการค้นหาสินค้าได้เป็นอย่างดี แบบนี้สะดวกทั้งผู้ซื้อและผู้ขายครับ

สิ่งที่ผู้ใช้เครื่องพรินเตอร์ ทั้งหลายหวาดกลัวกันก็คงจะหนีไม่พ้น ตลับหมึก หรือโทนเนอร์ปลอม อย่างไปคิดนะครับว่าของถูกจะดีเสมอไป ของถูกๆ ดีๆ หาได้ยากครับ ส่วนใหญ่จะเจอแต่ของถูกๆ แต่คุณภาพไม่ดีทั้งนั้นครับ ดังนั้นการเลือกซื้อก็ควรจะสังเกตที่บรรจุภัณฑ์ของตัวสินค้าก่อนเป็นอย่างแรกครับ ดูที่ โลโก้ของผลิตภัณฑ์ว่ามีหรือไม่ สัญลักษณ์ที่แสดงถึงตราสินค้ามีหรือไม่ ซึ่งในตอนนี้ผู้ผลิตเครื่องพรินเตอร์หลายราย ก็พยายามที่จะสร้างความแตกต่างของ ตัวบรรจุภัณฑ์เพื่อให้ลูกค้าได้เป็นข้อสังเกตในการเลือกซื้อได้ง่าย ครับ อย่างเช่น ใช้แผ่นฟิล์มส่องเพื่อตรวจสอบว่า มีโลโก้ของสินค้าแสดงหรือไม่ หากมีโลโก แสดงก็แสดงว่าเป็นผลิตภัณฑ์ของแท้ครับ หากไม่มีก็แสดงว่านั่นแหละครับของปลอมชัวร์

บางบริษัทที่ทำสินค้าออกมาเลียนแบบ อาจจะใช้รูปทรง สีสัน ลักษณะของบรรจุ--ภัณฑ์ที่เหมือน หรือคล้ายกับของแท้มาก หากเป็นผู้ซื้อที่ไม่ได้สนใจกับ ตัวสินค้า เลือกซื้อเฉพาะรุ่นที่ใช้กับเครื่องพรินเตอร์ได้ เลือกซื้อตรงที่ราคาที่ถูก ประหยัดเงินในกระเป๋า ท่านคิดผิดไปแล้วครับ ดังนั้นการเลือกซื้อควรที่จะใช้ ความพินิจพิจารณาไตร่ตรองสักนิดครับ เพื่อที่จะได้ไม่เสียเงินทองไปโดยเปล่าประโยชน์ แล้วที่สุดแล้วท่านก็เป็นผู้ที่จะต้องเสียใจ กับปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา ครับ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องพรินเตอร์เสีย ไม่สามารถใช้งานได้ จนกระทั่งจะต้องซื้อเครื่องพรินเตอร์ใหม่เลยก็เป็นไปได้ครับ